Trang này có thể chứa nội dung của bên thứ ba, được cung cấp chỉ nhằm mục đích thông tin (không phải là tuyên bố/bảo đảm) và không được coi là sự chứng thực cho quan điểm của Gate hoặc là lời khuyên về tài chính hoặc chuyên môn. Xem Tuyên bố từ chối trách nhiệm để biết chi tiết.
Lợi nhuận: Một khía cạnh quan trọng trong việc đánh giá lợi nhuận đầu tư
ในการเงินและการลงทุน ค่า yield เป็นตัวชี้วัดพื้นฐานที่ช่วยนักลงทุนประเมินประสิทธิภาพของการสนใจทะเบียน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น พันธบัตร หรือสินทรัพย์อื่น ๆ การเข้าใจ Yield อย่างลึกซึ้งจะช่วยให้การตัดสินใจลงทุนมีฐานข้อมูลที่มั่นคง
Yield คืออะไร: ทำความรู้จักกับตัวชี้วัดอัตราผลตอบแทน
Yield หรือ ค่า yield คือจำนวนเงินที่สินทรัพย์หนึ่งสร้างให้แก่ผู้ลงทุน เมื่อเทียบกับมูลค่าเดิมของการลงทุน โดยแสดงออกมาในรูปแบบร้อยละ Yield ไม่ได้คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์เอง แต่เน้นไปที่กระแสรายได้ที่ไหลมาจากการถือครองหรือการให้เช่าสินทรัพย์นั้น
ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนซื้อหุ้นในราคา 100 บาท แล้วได้รับเงินปันผล 5 บาทต่อปี ค่า yield ของการลงทุนนี้คือ 5% ไม่ว่าราคาหุ้นจะสูงหรือต่ำลงไป
ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนด Yield
ค่า yield ไม่ได้เกิดขึ้นมาแบบสุ่ม แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการที่นักลงทุนต้องเข้าใจ
ประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุน นำบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราผลตอบแทน สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นเติบโต มักมี Yield ที่สูงกว่า เนื่องจากต้องชดเชยความเสี่ยงที่มาพร้อมกับความผันผวนของตลาด ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ มักให้ Yield ที่ต่ำกว่า
สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเงิน เป็นปัจจัยนอกตัวบุคคล ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อ Yield อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางกำหนด การขยายตัวทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ล้วนสร้างผลกระทบต่อระดับผลตอบแทน
ระยะเวลาการลงทุน ยิ่งนักลงทุนพร้อมที่จะอดทนในระยะยาว Yield ที่คาดหวังก็มักจะสูงขึ้น เนื่องจากมีเวลาให้ผลตอบแทนทบต้นและเจริญเติบโต
ระดับความเสี่ยง ที่ผู้ลงทุนพร้อมรับนั้นเป็นพื้นฐานในการเลือกประเภทสินทรัพย์ เช่น นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงสูงอาจลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ขณะที่ผู้ระมัดระวังจะเลือกตราสารหนี้
นโยบายของบริษัทหรือหน่วยงาน ที่ออกสินทรัพย์นั้นกำหนด Yield ได้เช่นกัน บริษัทที่ตัดสินใจจ่ายเงินปันผลสูง หรือลงทุนในวิจัยและพัฒนา จะมีผลต่อการประเมินและคาดการณ์ Yield
วิธีการคำนวณ Yield: สูตรและตัวอย่างการประยุกต์ใช้
การคำนวณ ค่า yield ขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุน เช่น การลงทุนในตราสารหนี้ใช้สูตร:
Yield = ((ราคาปัจจุบัน – ราคาซื้อ) / ราคาซื้อ) × 100%
การรู้จักสูตรพื้นฐานนี้ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถทำการเปรียบเทียบสินทรัพย์ต่าง ๆ และตัดสินใจได้อย่างเป็นระบบ
ประเภท Yield ที่นักลงทุนควรรู้จัก
Dividend Yield: ผลตอบแทนจากเงินปันผล
Dividend Yield วัดอัตราส่วนระหว่างเงินปันผลที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นเทียบกับราคาตลาดของหุ้น
ตัวอย่าง: บริษัท X จ่ายเงินปันผล 8 บาทต่อหุ้น ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 160 บาท Dividend Yield = (8 / 160) × 100 = 5%
หมายความว่าหากลงทุนที่ราคาตลาดปัจจุบัน ผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนเป็นเงินปันผล 5% ต่อปี
Earnings Yield: ผลตอบแทนจากกำไรของบริษัท
Earnings Yield เป็นการวัดกำไรสุทธิต่อหุ้นเมื่อเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากำไรสุทธิที่บริษัทสร้างนั้นมีกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับราคาการลงทุน
ตัวอย่าง: บริษัท Y มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 4 บาท และราคาตลาดคือ 80 บาท Earnings Yield = (4 / 80) × 100 = 5%
Bond Yield: ผลตอบแทนจากตราสารหนี้
Bond Yield แสดงถึงผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ยที่ลงทุนจะได้รับจากการถือพันธบัตร คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยต่อปีหารด้วยมูลค่าตราสารหนี้
ตัวอย่าง: นักลงทุนซื้อพันธบัตรมูลค่า 1,200 บาท มีอัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี Bond Yield = (72 / 1,200) × 100 = 6%
Mutual Funds Yield: ผลตอบแทนจากกองทุนรวม
กองทุนรวมสร้างรายได้มาจากสองแหล่ง: เงินปันผลจากหุ้นที่กองทุนถือครอง และดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ ค่า Yield ของกองทุนคำนวณโดยนำรายได้รวมทั้งหมดหารด้วยมูลค่าสุทธิ
ตัวอย่าง: กองทุนรวม Z สร้างรายได้รวม 120 บาท ในขณะที่มูลค่าสุทธิของกองทุนคือ 1,500 บาท Mutual Funds Yield = (120 / 1,500) × 100 = 8%
ความแตกต่างระหว่าง Yield และ Return
นักลงทุนมือใหม่มักสับสนระหว่างสองคำนี้ แม้ว่าทั้งสองต่างหมายถึงผลตอบแทน แต่มีความหมายที่แตกต่างกัน
Yield คือผลตอบแทนที่คาดหวังจะได้รับจากการถือครองสินทรัพย์ ไม่รวมการเปลี่ยนแปลงราคา เช่น เงินปันผลต่อปีจากหุ้นที่ถือครอง
Return หรือผลตอบแทนที่ได้รับจริง นั้นรวมทั้งรายได้จากเงินปันผลหรือดอกเบี้ย บวกกับกำไรหรือขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงราคาสินทรัพย์
ตัวอย่างการเปรียบเทียบ: หากซื้อหุ้นในราคา 100 บาท รับเงินปันผล 5 บาท แล้วราคาหุ้นขึ้นไปเป็น 110 บาท ค่า Yield คือ 5% (เฉพาะเงินปันผล) แต่ Return คือ 15% (5 บาทปันผล บวก 10 บาทกำไรจากการขึ้นราคา)
Yield ของตลาดหุ้นและการวิเคราะห์
ตลาดหุ้นมี Yield หลายประเภท ผู้ลงทุนที่ต้องการสร้างรายได้จากการลงทุนในหุ้นควรเข้าใจความแตกต่างระหว่างแต่ละประเภท
Dividend Yield ของตลาดหุ้นนั้นคำนวณจากการนำเงินปันผลที่บริษัทจ่ายหารด้วยราคาหุ้นปัจจุบัน แล้วคูณด้วย 100% การเปรียบเทียบ Dividend Yield ของบริษัทต่าง ๆ ช่วยให้ผู้ลงทุนเลือกหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลดีกว่า
Earnings Yield ของตลาดหุ้นมีความสำคัญเนื่องจากแสดงให้เห็นว่าบริษัทนั้นสร้างกำไรได้มากเพียงใดเมื่อเทียบกับราคาหุ้น ผู้ลงทุนสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการประเมินว่าหุ้นนั้นมีมูลค่าสูงเกินไปหรือต่ำเกินไป
สินทรัพย์ใดให้ Yield สูงที่สุด
คำตอบไม่มีหนึ่งเดียว เพราะมันขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่นักลงทุนพร้อมรับ
หุ้น โดยเฉพาะหุ้นเติบโตสามารถให้ Yield ที่สูงมากในระยะยาว แต่มาพร้อมกับความผันผวนและความเสี่ยงสูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีระยะเวลาลงทุนยาว
อสังหาริมทรัพย์ ให้ผลตอบแทนปานกลางถึงสูง โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เช่า ซึ่งสามารถสร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามต้องการการลงทุนเงินก้อนใหญ่และมีค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา
ตราสารหนี้ เช่นพันธบัตรรัฐบาล ให้ Yield ที่ต่ำกว่าแต่ก็มีความเสี่ยงต่ำกว่ามาก เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเสถียรภาพ
สกุลเงินดิจิทัล ให้ผลตอบแทนที่สูงมากแต่มีความเสี่ยงที่สูงมากด้วย เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้เพียงพอและยอมรับความเสี่ยง
กองทุนรวม ให้ความยืดหยุ่นในการเลือก Yield ตามระดับความเสี่ยงที่ต้องการ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการกระจายความเสี่ยง
สรุป: Yield เป็นเครื่องมือสำคัญ
Yield หรือค่า yield เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการประเมินประสิทธิภาพของการลงทุน อันช่วยให้ผู้ลงทุนเปรียบเทียบสินทรัพย์ต่าง ๆ และตัดสินใจลงทุนอย่างมีข้อมูล การเข้าใจ Yield อย่างลึกซึ้ง รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อ Yield จะทำให้คุณสามารถสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับสถานะการเงินและเป้าหมายของตนได้
สิ่งสำคัญคือการจดจำว่า Yield ที่สูงมักมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูง ดังนั้นนักลงทุนต้องทำสมดุลระหว่างการแสวงหาผลตอบแทนสูงกับการรักษาสภาพของเงินลงทุนอย่างยุติธรรม