Trang này có thể chứa nội dung của bên thứ ba, được cung cấp chỉ nhằm mục đích thông tin (không phải là tuyên bố/bảo đảm) và không được coi là sự chứng thực cho quan điểm của Gate hoặc là lời khuyên về tài chính hoặc chuyên môn. Xem Tuyên bố từ chối trách nhiệm để biết chi tiết.
Giá trị hao mòn và chi phí khấu hao: Công cụ kế toán mà nhà đầu tư cần biết
ทำไมต้องใส่ใจเรื่องนี้?
หากคุณกำลังวิเคราะห์งบการเงินของบริษัท คุณจะสังเกตเห็นตัวเลขลึกลับชื่อ EBIT, EBITDA และปรากฏการณ์ที่มูลค่าสินทรัพย์พอตัวลดลงทุกปี นั่นคือเรื่องราวของ ค่าเสื่อมราคากับค่าตัดจำหน่ายแหละ
สองแนวคิดนี้ส่งผลต่อรายได้สุทธิที่บริษัทรายงาน และมีความสำคัญต่ออายุการทำงานของสินทรัพย์ ถ้ามูลค่าสินทรัพย์ถูกวัดเพี้ยน บริษัทอาจตัดสินใจผิด หรือในกรณีรุนแรง อาจถูกบังคับปิดตัวลง
ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) มันเล่นไรใน?
กำหนดนิยามสั้น ๆ
ค่าเสื่อมราคา คือกระบวนการที่นักบัญชีคำนวณการสูญเสียมูลค่าของสินทรัพย์ที่จับต้องได้เมื่อบริษัทใช้งานมันตามกาลเวลา
มันมีสองด้านที่ต้องเข้าใจ:
จำนวนปีที่ใช้สำหรับการคิด ค่าเสื่อมราคา ขึ้นอยู่กับอายุการใช้งานโดยประมาณ ตัวอย่างเช่น แล็ปท็อปอาจจะใช้ได้ประมาณ 5 ปี ทางการเงินจะแบ่งต้นทุนเดิมให้กระจายไปตลอด 5 ปีนั้น
สินทรัพย์อะไรที่สามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้?
สินทรัพย์ต้องมีเงื่อนไขดังนี้:
สินทรัพย์ทั่วไปที่คิดค่าเสื่อมราคาได้: ยานพาหนะ อาคาร อุปกรณ์สำนักงาน เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องจักร และแม้แต่สินทรัพย์ไม่มีตัวตนบางอย่างเช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ และซอฟต์แวร์
สินทรัพย์ที่ห้ามคิดค่าเสื่อมราคา: ที่ดิน (มักจะไม่เสื่อมค่า) ของสะสม (เช่น ศิลปะ เหรียญ) หุ้นและพันธบัตร ทรัพย์สินส่วนบุคคล หรือเมื่ออื่น ๆ ที่ใช้งานน้อยกว่า 1 ปี
ค่าเสื่อมราคา กระทบต่อ EBIT และ EBITDA อย่างไร?
EBIT (Earnings Before Interest and Taxes) = รายได้ก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี
EBITDA (Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation, and Amortization) = รายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย
ทำไมต้องสนใจ? เมื่อเปรียบเทียบบริษัทสองแห่ง บริษัทหนึ่งมีสินทรัพย์ถาวรจำนวนมาก และอีกบริษัทมีสินทรัพย์น้อย ค่าเสื่อมราคาจะทำให้บริษัทแรกดูเสียหาย EBITDA ช่วยลบเรื่องนี้ออกได้
วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา 4 แบบ
1. วิธีเส้นตรง (Straight-Line Method)
คำอธิบาย: แบ่งมูลค่าสินทรัพย์เท่า ๆ กันตลอดอายุการใช้งาน ตัดเงินเท่ากันทุกปี
ข้อดี:
ข้อเสีย:
ตัวอย่าง: ซื้อรถยนต์ 100,000 บาท คาดใช้ 5 ปี → ตัดค่าเสื่อมราคา 20,000 บาทต่อปี
2. วิธีลดลงสองเท่า (Double-Declining Balance)
คำอธิบาย: ตัดค่าเสื่อมราคาหนักเมื่อเริ่มแรก แล้วลดลงทีละน้อยในปีต่อมา เป็นวิธีการเร่งการกู้คืนต้นทุน
ข้อดี:
ข้อเสีย:
3. วิธีลดค่าคงเหลือ (Declining Balance)
คำอธิบาย: การตัดค่าเสื่อมราคาเร่งตัวที่คำนวณเร็วกว่าวิธีเส้นตรง (เป็นสองเท่า) มูลค่ารายจ่ายจะสูงในปีแรก แล้วลดลงทีละน้อย
ข้อดี:
ข้อเสีย:
4. หน่วยการผลิต (Units of Production)
คำอธิบาย: คิดค่าเสื่อมราคาตามความถี่ที่ใช้สินทรัพย์จริง ๆ เช่น จำนวนชั่วโมงที่ใช้งาน หรือชิ้นที่ผลิต
ข้อดี:
ข้อเสีย:
ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) ต่างจากค่าเสื่อมราคาอย่างไร?
ความแตกต่างหลัก
ค่าตัดจำหน่าย คือกระบวนการบัญชีสำหรับการกระจายต้นทุนของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนหรือเงินกู้ลงตามเวลา
ตัวอย่าง:
เมื่อตัดจำหน่ายเงินกู้
ในตอนแรก ส่วนใหญ่ของการชำระรายเดือนเป็นดอกเบี้ย เมื่อเวลาผ่านไป เงินต้นจะลดลง และดอกเบี้ยก็ลดลงด้วย ตัวเลขการชำระรายเดือนเหมือนเดิม แต่สัดส่วนดอกเบี้ยกับเงินต้นเปลี่ยนไป
สินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่ตัดจำหน่ายได้
เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ และโดยปกติจะใช้เมื่อได้มาซึ่งธุรกิจที่มีอยู่แล้ว
เปรียบเทียบขั้นสุดท้าย: ค่าเสื่อมราคา vs ค่าตัดจำหน่าย
ทำไมนักลงทุนต้องรู้เรื่องนี้?
เมื่อวิเคราะห์งบการเงิน ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะส่งผลต่อ:
บริษัทที่มีสินทรัพย์ถาวรจำนวนมากจะมีค่าเสื่อมราคาสูง ซึ่งอาจทำให้ดูเหมือนรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง การใช้ EBITDA ช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
เข้าใจค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะช่วยให้คุณลงทุนได้ฉลาดกว่า และไม่หลงให้ตัวเลขบัญชีหลอกได้