ดัชนี MACD เคลื่อนเข้าใกล้เส้น Zero Line และหากสามารถทะลุขึ้นไปได้ จะยืนยันแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงปรับตัวขึ้นเป็นสัญญาณที่แสดงความเชื่อมั่นของผู้เล่นตลาด
Ця сторінка може містити контент третіх осіб, який надається виключно в інформаційних цілях (не в якості запевнень/гарантій) і не повинен розглядатися як схвалення його поглядів компанією Gate, а також як фінансова або професійна консультація. Див. Застереження для отримання детальної інформації.
2568інвестиції у золото приносять реальний прибуток? Детальна відповідь на основі даних ринку
ตลาดทองคำในปัจจุบันกำลังดึงความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกอย่างมหาศาล โดยเฉพาะหลังจากที่ ราคายืนขึ้นไปแตะระดับสูงสุดประวัติการณ์ที่ 2,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา แต่คำถามใหญ่ที่หลาย ๆ คนสนใจคือ ควรเก็บทองคำต่อไปหรือไม่? และจะดำเนินการอย่างไรจึงจะได้ผลตอบแทนที่ดี
ปัจจัยหลัก 4 ประการที่ขับเคลื่อนการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำ
ราคาทองคำไม่ได้เพิ่มขึ้นโดยบังเอิญ มีสาเหตุพื้นฐานหลายประการที่นำไปสู่การปรับตัวขึ้นแบบต่อเนื่อง
ธนาคารกลางของโลกกำลังซื้อทองคำหนักหนา
สัญญาณแรกที่แสดงถึงความแข็งแกร่งของตลาดคือ การเพิ่มสะสมทองคำของธนาคารกลาง โดยเฉพาะจีน อินเดีย และตุรกี ในไตรมาสแรกปีนี้ มีการซื้อทองสุทธิถึง 290 ตัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึง 36% กลยุทธ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าหลายประเทศมีแผนที่จะลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนได้เพิ่มสัดส่วนทองคำจากประมาณ 1,900 ตันเป็นมากกว่า 2,500 ตัน ส่วนอินเดียวางแผนให้เพิ่มสัดส่วนไปถึง 10% ภายในปี 2025
ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์ยังไม่ลดลง
สถานการณ์ในยูเครน ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และความไม่แน่นอนด้านการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้นักลงทุนหันมาหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากขึ้น ทองคำจึงเป็นตัวเลือกแรกเนื่องจากมูลค่าไม่ขึ้นกับเศรษฐกิจสถาบันใดแห่งหนึ่ง
นโยบายอัตราดอกเบี้ยส่งสัญญาณผ่อนคลาย
Fed คาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 2568 ซึ่งทำให้อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรและสินทรัพย์ดั้งเดิมลดลง นั่นหมายความว่าทองคำ ซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนรูปดอกเบี้ย กลับกลายมาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า เพราะต้นทุนค่าเสียโอกาส (opportunity cost) ลดลง
เงินเฟ้อแฝงและความกังวลด้านการคลัง
ขาดดุลงบประมาณสหรัฐฯ และแนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังแสดงตัวอยู่ เป็นตัวผลักดันให้นักลงทุนซื้อทองคำเพื่อปกป้องคุณค่าการลงทุน
มุมมองของสถาบันการเงินชั้นนำ - ส่วนใหญ่เป็นบวก
สถาบันการเงินแต่ละแห่งมีการประเมินแตกต่างกันบ้าง แต่ล้วนชี้ไปในทิศทางเดียวกัน
Goldman Sachs มองว่าราคาสามารถแตะ 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในสิ้นปี โดยเหตุผลคือความเข้มแข็งของอุปสงค์จากธนาคารกลาง
J.P. Morgan ระมัดระวังมากกว่า แต่ยังคงบวก โดยประเมินว่าการลดอัตราดอกเบี้ยและอุปสงค์ที่เข็มแข็งจากสถาบันจะพยุงราคา
FX Empire มองโลกในแง่ดีที่สุด โดยคาดว่าราคาอาจแตะ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ หากสถานการณ์ภูมิศาสตร์รุนแรงขึ้น
Morgan Stanley คาดว่าราคาจะแตะ 2,800 ดอลลาร์ในปี 2568 ขณะที่ UBS แนะนำให้ระมัดระวังการปรับตัวขึ้นแบบเร็วและแรงที่เกิดขึ้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิค - แนวโน้มขาขึ้นยังสามารถดำเนินต่อได้
จากกราฟราคา ทองคำมี แนวรับที่สำคัญที่ 2,447 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (เส้น MA 200 วัน) และแนวต้านที่ 2,800 ดอลลาร์ ราคายังคงยืนเหนือแนวรับนี้ แม้จะมีการพักตัวลงเป็นระยะ สัญญาณ RSI ชี้ว่าตลาดได้ลดลงจากภาวะซื้อมากเกินไป ซึ่งเป็นสัญญาณบวกสำหรับการปรับตัวขึ้นต่อ
ดัชนี MACD เคลื่อนเข้าใกล้เส้น Zero Line และหากสามารถทะลุขึ้นไปได้ จะยืนยันแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงปรับตัวขึ้นเป็นสัญญาณที่แสดงความเชื่อมั่นของผู้เล่นตลาด
วิธีการลงทุนทองคำให้ได้กำไรดีที่สุด
เลือกระยะเวลาตามเป้าหมายของคุณ
สัดส่วนการลงทุนที่สมดุล
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้จัดสรรระหว่าง 5-10% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ถ้ามีทุน 1 ล้านบาท ลงทุนเพียง 50,000-100,000 บาท ห้ามเกิน 15-20% เพื่อรักษาสมดุลและกระจายความเสี่ยง
จุดเข้าซื้อที่ดึงดูดใจ
ราคาเข้าซื้อแบบเหมาะสมอยู่ที่ ระดับ 2,447-2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทะลุต่ำกว่านี้ ก็คือโอกาสในการทยอยสะสม ควรใช้กลยุทธ์การซื้อแบบค่อย ๆ (Dollar-Cost Averaging) โดยแบ่งเงินออกเป็น 4-6 ส่วน แล้วซื้อทีละส่วนเมื่อราคาแกว่งตัวลง แทนการซื้อครั้งเดียวทั้งหมด
วางแผนความเสี่ยง
แม้ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแต่ก็มีความเสี่ยง ในระยะสั้นราคาอาจลดลง 10-15% ในช่วงตลาดผันผวน หรือลงได้ถึง 20-25% ในวิกฤติ ดังนั้นหากลงทุน 100,000 บาท ต้องเตรียมใจรับความผันผวนถึงระดับ 75,000-85,000 บาท
บทสรุป - ทองคำเหมาะกับใคร?
ในบริบทปัจจุบัน ซื้อทองเก็บไว้เป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล สำหรับผู้ที่:
อย่างไรก็ตาม ต้องลงทุนด้วยเงินที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น และควรพิจารณาควบคู่กับการลงทุนประเภทอื่น เพื่อให้ได้การกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม หลักการสำคัญคือ ไม่ลงทุนเกินกำลังจ่าย และมีแผนการขายที่ชัดเจนตั้งแต่แรก