Halaman ini mungkin berisi konten pihak ketiga, yang disediakan untuk tujuan informasi saja (bukan pernyataan/jaminan) dan tidak boleh dianggap sebagai dukungan terhadap pandangannya oleh Gate, atau sebagai nasihat keuangan atau profesional. Lihat Penafian untuk detailnya.
Kepuasan dalam era modern Kerangka konsep yang berkelanjutan untuk masyarakat Thailand
ว่าแต่ ความพอเพียง หมายถึง อะไรจริง ๆ นอกจากเป็นคำศัพท์ที่ชาวไทยฟังกันมานาน แล้ว มันยังเป็นปรัชญาชีวิตที่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจครอบครัวและสังคมได้อย่างแท้จริง
ต้นกำเนิดของกรอบแนวคิดความพอเพียง
เรื่องราวเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2517 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยเน้นถึงความจำเป็นในการสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ นั่นก็คือ “ความพอมี พอกิน พอใช้” ในช่วงเวลานั้น ประเทศไทยกำลังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจากทุนกู้ยืมจากต่างประเทศ เพื่อพัฒนาให้กลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม ซึ่งสร้างความเหลื่อมล้ำและปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา
ก่อนที่วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งจะเกิดขึ้นในปี 2540 ประมาณหนึ่งปี พระองค์ท่านทรงย้ำเตือนอีกครั้งว่า “การจะเป็นเสือไม่สำคัญ สำคัญคือเมื่อเรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน นั่นหมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง” ภายหลังจากวิกฤตดังกล่าว หลักการ ความพอเพียง เริ่มถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ
ในปี 2549 องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ยอมรับและยกย่องปรัชญานี้ โดยขนานนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ว่าเป็น “Developer King” และถวายรางวัล Human Development Lifetime Achievement Award แสดงให้เห็นว่าแนวคิดนี้มีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals)
ความพอเพียง หมายถึง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจจริง ๆ
ถ้าจะให้เข้าใจง่าย ๆ ความพอเพียง หมายถึง กรอบคิดที่มุ่งให้ประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่ครัวเรือน ชุมชน ไปจนถึงระดับประเทศ สามารถพึ่งพาตัวเองได้ โดยใช้ความพอประมาณ ความพอปรึงหรือการไม่โลภ
หลักที่สำคัญคือ การดำรงชีวิตอยู่บนทางสายกลาง ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ที่เป็นเกราะป้องกันให้เราสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมได้อย่างมีเสถียรภาพ
3 ห่วงของความพอเพียง คืออะไร
ห่วงแรก: ความพอประมาณ
หมายถึงการสร้างรายได้ด้วยวิธีสุจริตและไม่เบียดเบียนผู้อื่น รวมทั้งการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับฐานะของตนเอง ไม่ฟุ่มเฟือยและไม่กู้ยืมเกินความสามารถ เป้าหมายคือสร้างสมดุลในการดำรงชีวิต
ห่วงที่สอง: ความมีเหตุผล
กล่าวคือ การคิดพิจารณาอย่างละเอียดก่อนลงมือทำอะไร ไม่ทำตามอารมณ์ เช่นเมื่อสนใจสตาร์ตอัพ ต้องมีแผนธุรกิจที่รอบครอบ วิเคราะห์ตลาดให้ชัดเจน รู้ศักยภาพตนเอง ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด
ห่วงที่สาม: ระบบภูมิคุ้มกันที่ดี
หมายถึงการเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ ภัยพิบัติธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงตลาด โดยการมีเงินสำรองเพื่อความเป็นอยู่ได้เรื่อย ๆ และมีทางเลือกในการหารายได้หลากหลาย
2 เงื่อนไขพื้นฐาน
เงื่อนไขแรก: ความรู้
ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านวิชาการ ประสบการณ์ส่วนตัว หรือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ความรู้ที่หลากหลายช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น วางแผนได้เหมาะสม และแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิผล
เงื่อนไขที่สอง: คุณธรรม
หมายถึงความซื่อสัตย์สุจริต ความขยัน ความเป็นธรรม และการมีคุณธรรมในการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพ หรือการทำธุรกิจ เพื่อให้ได้มาซึ่งสังคมที่สมดุลและยุติธรรมมากขึ้น
ตัวจริงของ ความพอเพียง ผ่านเรื่องราวในจำนวนชีวิต
เมื่อพูดถึง ความพอเพียง เรามักจะนึกถึงเกษตรกรในไร่นา แต่ความจริงแล้วแนวคิดนี้ใช้ได้กับทุกอาชีพ ทุกธุรกิจ
ในด้านการเกษตร
การเกษตรแบบผสมผสาน เป็นตัวอย่างทีดีที่สุด กิจการหนึ่งไม่ขึ้นอยู่กับผลผลิตเพียงชนิดเดียว เกษตรกรปลูกข้าว ปลูกผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ขุดสระเพื่อเก็บน้ำและเลี้ยงปลา วิธีนี้ลดความเสี่ยงจากภัยแล้งหรือโรคระบาด และให้ความหลากหลายทั้งในด้านอาหารและรายได้
การเกษตรตามทฤษฎีใหม่ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงประดิษฐ์ขึ้น แบ่งที่ดินออกเป็น 30:30:30:10 (สำหรับเก็บน้ำ ปลูกข้าว ปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ และส่วนสำรอง) ทำให้เกษตรกรสามารถจัดการได้อย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ยังมีขั้นก้าวหน้า โดยเกษตรกรหลายคนรวมกลุ่มกัน ร่วมมือสร้างตลาด ลดการถูกกดราคาจากพ่อค้ากลาง ซึ่งถือเป็นขั้นที่สามของการพัฒนาสู่เศรษฐกิจชุมชนที่มั่นคง
ในด้านอุตสาหกรรมและพาณิชย์
เจ้าของธุรกิจที่ประยุกต์ ความพอเพียง อย่างแท้จริง มักจะ:
ธุรกิจเช่นนี้อาจจะไม่โตจำชาติเหมือนบริษัทขนาดใหญ่ แต่เสถียรภาพและความยั่งยืนั้นดีกว่า ปกติสามารถ度過วิกฤตการณ์ได้ดีกว่า และสร้างงานให้กับชุมชน
วิธีนำ ความพอเพียง ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ เก็บเกี่ยวผลผลิตจากไร่นา หรือสถาบันปกครองประเทศ บุคคลทั่วไปกับครอบครัวสามารถเริ่มปรับใช้ได้เลย
ในส่วนของการงาน:
ในส่วนของการเงิน:
ในการตัดสินใจ:
สรุปสั้น ๆ
ความพอเพียง ไม่ได้หมายถึงการทำให้ตนเองจนนิ่ว หรือให้เหตุให้ผู้อื่น ไม่ใช่การปฏิเสธความก้าวหน้า หรือการปิดตัวจากโลกภายนอก
มันหมายถึงการใช้ชีวิตอย่างฉลาด ภายใต้ความเข้าใจตนเองและสภาพแวดล้อม ยึดติดกับความเป็นธรรมและคุณธรรม การ ความพอเพียง นั้นยังคงเป็นเข็มทิศที่นำทางให้ประเทศไทยและประชาชนของเรา สามารถอยู่รอด เจริญ และพัฒนาไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาชีพ ธุรกิจ หรือนโยบายการพัฒนาของรัฐ ต่างก็สามารถประยุกต์ได้อย่างสร้างสรรค์